
โดยเฉพาะภาพภาพมะเร็งช่องปาก มะเร็งกล่องเสียง และมะเร็งปอด แฉอีกกว่า14.3ล้านคน ยังคงสูบบุหรี่ต่อเนื่องแนะเก็บภาษียาเส้นเพิ่ม จะช่วยให้ ปชช.เลิกสูบได้ ...
วันนี้ (9 พ.ย.) ผศ.ลักขณา เติมศิริกุลชัย ประธานคณะทำงานวิชาการโครงการสำรวจบริโภคยาสูบในผู้ใหญ่ระดับโลก (Global Adult Tobacco Survey : GATS) กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศแรกใน14 ประเทศทั่วโลกที่สามารถสำรวจสถานการณ์การบริโภคยาสูบของประเทศได้สำเร็จ ภายในปี 2552 โดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล สุ่มสำรวจครัวเรือนที่มีประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป รวมกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 20,566 คน เป็นตัวแทนของประชาการไทยที่มีอายุเกิน 15 ปีได้ทั้งสิ้น 52 ล้านคน พบว่า มีผู้บริโภคยาสูบทุกชนิดทั้งสิ้น 27.2% เป็นเพศชาย 46.4% เพศหญิง 9.1% ประมาณการว่ามีคนไทยทั้งประเทศบริโภคยาสูบมากถึง14.3 ล้านคน เป็น ยาสูบชนิดมีควัน 23.7% คิดเป็น 12.5 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นแบบซอง15% คิดเป็น 7.9 ล้านคน และแบบมวนเอง 14.1% คิดเป็น 7.4 ล้านคน ผู้สูบบุหรี่ซองจะเสียเงินซื้อบุหรี่เฉลี่ยเดือนละ 576 บาท ในจำนวนผู้สูบบุหรี่ 6 ใน 10 คน คิดจะเลิกสูบบุหรี่ และผู้สูบบุหรี่ 5 ใน 10 คน เคยเลิกสูบบุหรี่ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา เพราะภาพคำเตือนบนซอง 3 อันดับแรกคือ ภาพมะเร็งช่องปาก มะเร็งกล่องเสียง และมะเร็งปอด
สำหรับ สถานที่อันตรายที่ทำให้ได้รับควันบุหรี่มากที่สุดคือตลาดนัด หรือตลาดสด รองลงมาคือ ในบ้าน ที่น่าห่วงคือ ขณะนี้บริษัทบุหรี่ได้ผลิตยาสูบรูปแบบใหม่โดยนำยาสูบที่ลดความนิยมไปแล้ว อย่างยาจุกทางปาก ซึ่งเป็ยยาสูบชนิดไร้ควัน ใช้โดยเน็บไว้ที่ปากที่มีการทำในรูปแบบสีสันสวยงามเพื่อดึงดูดใจวัยรุ่น ทำให้รู้สึกเท่ มีแนวโน้มสูงที่วัยรุ่นจะหันมาให้ความสนใจ ขณะที่ไทยยังไม่มีกฎหมายในการใช้ควบคุม
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานคณะกรรมการโครงการสำรวจการบริโภคยาสูบในผู้ใหญ่ระดับโลก กล่าวว่า ปัจจุบันมีการเก็บภาษียาเส้นเพียงร้อยละ 1 ของราคาขายปลีก ขณะที่บุหรี่เก็บภาษีสูงถึง 85% ของราคาขายปลีก โดยพิษภัยของบุหรี่ทั้ง 2 ชนิดไม่แตกต่างกัน และพิจารณาข้อมูลพบว่ามีสัดส่วนการสูบบุหรี่ทั้ง 2 ชนิด ใกล้เคียงกัน ดังนั้นหากจะขึ้นภาษียาเส้นอาจเพิ่มต้องขึ้นร้อยละ 70-80 หรือเพิ่มขึ้นจากที่ขายห่อละ 5 บาทเป็น ไม่ต่ำกว่า 10 บาท ซึ่งอยู่ในระดับที่จะช่วยให้ประชาชนเลิกสูบบุหรี่ได้
นายมานิต นพอมรบดี รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า สำหรับการขึ้นภาษียาเส้นจะหารือกับกระทรวงการคลังอีกครั้งหนึ่ง โดยนำข้อมูลสถิติดังกล่าว ร่วมถึงข้อข้อมูลที่คณะทำงานคำนวณอัตราภาษียาเส้นให้กับกระทรวงการคลังเป็น ผู้พิจารณา
วันนี้ (9 พ.ย.) ผศ.ลักขณา เติมศิริกุลชัย ประธานคณะทำงานวิชาการโครงการสำรวจบริโภคยาสูบในผู้ใหญ่ระดับโลก (Global Adult Tobacco Survey : GATS) กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศแรกใน14 ประเทศทั่วโลกที่สามารถสำรวจสถานการณ์การบริโภคยาสูบของประเทศได้สำเร็จ ภายในปี 2552 โดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล สุ่มสำรวจครัวเรือนที่มีประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป รวมกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 20,566 คน เป็นตัวแทนของประชาการไทยที่มีอายุเกิน 15 ปีได้ทั้งสิ้น 52 ล้านคน พบว่า มีผู้บริโภคยาสูบทุกชนิดทั้งสิ้น 27.2% เป็นเพศชาย 46.4% เพศหญิง 9.1% ประมาณการว่ามีคนไทยทั้งประเทศบริโภคยาสูบมากถึง14.3 ล้านคน เป็น ยาสูบชนิดมีควัน 23.7% คิดเป็น 12.5 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นแบบซอง15% คิดเป็น 7.9 ล้านคน และแบบมวนเอง 14.1% คิดเป็น 7.4 ล้านคน ผู้สูบบุหรี่ซองจะเสียเงินซื้อบุหรี่เฉลี่ยเดือนละ 576 บาท ในจำนวนผู้สูบบุหรี่ 6 ใน 10 คน คิดจะเลิกสูบบุหรี่ และผู้สูบบุหรี่ 5 ใน 10 คน เคยเลิกสูบบุหรี่ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา เพราะภาพคำเตือนบนซอง 3 อันดับแรกคือ ภาพมะเร็งช่องปาก มะเร็งกล่องเสียง และมะเร็งปอด
สำหรับ สถานที่อันตรายที่ทำให้ได้รับควันบุหรี่มากที่สุดคือตลาดนัด หรือตลาดสด รองลงมาคือ ในบ้าน ที่น่าห่วงคือ ขณะนี้บริษัทบุหรี่ได้ผลิตยาสูบรูปแบบใหม่โดยนำยาสูบที่ลดความนิยมไปแล้ว อย่างยาจุกทางปาก ซึ่งเป็ยยาสูบชนิดไร้ควัน ใช้โดยเน็บไว้ที่ปากที่มีการทำในรูปแบบสีสันสวยงามเพื่อดึงดูดใจวัยรุ่น ทำให้รู้สึกเท่ มีแนวโน้มสูงที่วัยรุ่นจะหันมาให้ความสนใจ ขณะที่ไทยยังไม่มีกฎหมายในการใช้ควบคุม
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานคณะกรรมการโครงการสำรวจการบริโภคยาสูบในผู้ใหญ่ระดับโลก กล่าวว่า ปัจจุบันมีการเก็บภาษียาเส้นเพียงร้อยละ 1 ของราคาขายปลีก ขณะที่บุหรี่เก็บภาษีสูงถึง 85% ของราคาขายปลีก โดยพิษภัยของบุหรี่ทั้ง 2 ชนิดไม่แตกต่างกัน และพิจารณาข้อมูลพบว่ามีสัดส่วนการสูบบุหรี่ทั้ง 2 ชนิด ใกล้เคียงกัน ดังนั้นหากจะขึ้นภาษียาเส้นอาจเพิ่มต้องขึ้นร้อยละ 70-80 หรือเพิ่มขึ้นจากที่ขายห่อละ 5 บาทเป็น ไม่ต่ำกว่า 10 บาท ซึ่งอยู่ในระดับที่จะช่วยให้ประชาชนเลิกสูบบุหรี่ได้
นายมานิต นพอมรบดี รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า สำหรับการขึ้นภาษียาเส้นจะหารือกับกระทรวงการคลังอีกครั้งหนึ่ง โดยนำข้อมูลสถิติดังกล่าว ร่วมถึงข้อข้อมูลที่คณะทำงานคำนวณอัตราภาษียาเส้นให้กับกระทรวงการคลังเป็น ผู้พิจารณา
No comments:
Post a Comment